excel คำนวณวันเกษียณ ด้วย Datedif()
วันก่อน มีคนขอให้ช่วยเขียนสูตรสำหรับคำนวณ วันเกษียณ คำนวณอายุ คำนวณจำนวนระยะเวลาที่เหลือก่อนเกษียณ เป็นต้น เขาบอกว่าต้องทำให้กับคุณครูหลายคน คิดด้วยมือไม่ค่อยสะดวก พร้อมทั้งส่งแบบฟอร์มมาให้ด้วย โดยกำหนดวันตัวตั้งเอาไว้ สำหรับการคำนวณด้วย
ผมรับปากว่าจะช่วย พอทำเสร็จคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ทำหน้าที่บุคลากร หรือเป็นแนวทางในการคำนวณเรื่องของอายุ ก็เลยนำมาไว้ที่นี่ ให้ดาวน์โหลดกัน
การคำนวณอายุ เราใช้ฟังก์ชัน Datedif()
ถ้าไม่ใช่รูปแบบที่กำหนดข้างต้น ฟังก์ชันจะแสดงค่าผิดพลาดเป็น #NUM
ค่า Interval ถ้าใส่โดยตรง ต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูด เช่น
=DATEDIF(Date1,Date2,"m")
แต่ถ้าอ้างอิงมาจากเซลล์อื่น ก็ไม่ต้องมีเครื่องหมายคำพูด เช่น
=DATEDIF(Date1,Date2,A1)
ในแบบฟอร์ม ใน Sheet2 บอกว่า ขอให้เอาข้อมูลมารวมกันในเซลล์เดียว ดังนั้นจึงต้องมีการรวม วัน เดือน ปี ที่คำนวณได้มาไว้ในเซลล์เดียวกัน โดยใช้เครื่องหมาย & เชื่อม เช่น
=DATEDIF(A1,B1,"y") & " ปี " & DATEDIF(A1,B1,"ym") & " เดือน "& DATEDIF(A1,B1,"md") & " วัน"
ซึ่งจะแสดง ดังนี้ เช่น 12 ปี 8 เดือน 14 วัน
ลองดาวน์โหลด แล้วศึกษาดูนะครับ
อ้างอิง
http://www.cpearson.com/excel/datedif.aspx
ผมรับปากว่าจะช่วย พอทำเสร็จคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ทำหน้าที่บุคลากร หรือเป็นแนวทางในการคำนวณเรื่องของอายุ ก็เลยนำมาไว้ที่นี่ ให้ดาวน์โหลดกัน
การคำนวณอายุ เราใช้ฟังก์ชัน Datedif()
รูปแบบการใช้งาน มีดังนี้
=DATEDIF(Date1, Date2, Interval)
- Date1 คือ วัน เดือน ปี เริ่มต้น ข้อมูลต้องเป็นวันที่นะครับ เช่น 15/6/2551 ถ้าคำนวณหาอายุ ตัวนี้จะใช้เป็น วัน เดือน ปี เกิด
- Date2 คือ วัน เดือน ปี สิ้นสุด ถ้าคำนวณอายุ ตัวนี้ก็คือวันที่ในปัจจุบัน ส่วนมากจะใช้ฟังก์ชัน today() แต่ดูให้ดีนะครับ ถ้ากำหนดรูปแบบเป็นแบบตะวันตก ต้องบวกด้วย 543 แต่ถ้า Excel2010 กำหนดรูปแบบวันที่เป็นแบบไทย ปีพุทธศักราช ก็แล้วไป สำหรับในแบบฟอร์ม ใช้วันที่ที่กำหนดในเซลล E2 ก็เลยไม่ต้องวิตกเรื่องนี้ (แนะนำให้ ดาวน์โหลดไฟล์ มาศึกษาดูด้วยก็ดี)
- Interval เป็นรูปแบบที่ต้องการ เช่น จะให้เป็นปี เป็นเดือน หรือ เป็นวัน ก็ กำหนดที่นี่ เช่น "y" หมายถึง ปี "ym" หมายถึงเศษของเดือนในปีที่เหลือ และ "md" คือ วันที่เหลือจากเศษของเดือน เป็นต้น
ถ้า Date1 มากกว่า หรือเลย Date2 ฟังก์ชัน DATEDIF() จะแสดงค่าผิดพลาดเป็น #NUM! และถ้าเขียนไม่ถูกรูปแบบวันที่ ไม่ว่าจะเป็น Date1 หรือ Date2 ก็ตามจะเกิดข้อผิดพลาด #VALUE
ค่า Interval ที่ใช้ได้ มีดังนี้
ค่า | ความหมาย | อธิบาย |
m | เดือน | จำนวนเดือนทั้งหมด ที่มีในระหว่างวันที่ ที่กำหนด |
d | วัน | จำนวนวันทั้งหมด ที่มีในระหว่างวันที่ ที่กำหนด |
y | ปี | จำนวนปีทั้งหมด ที่มีในระหว่างวันที่ ที่กำหนด |
ym | เศษเดือนที่เหลือ | เศษของเดือนที่เหลือไม่ถึงปี |
yd | เศษวันที่เหลือปี | เศษของวันที่เหลือไม่ถึงปี (เอาเศษเดือนมาคิดเป็นวัน) |
md | เศษวันที่เหลือเดือน | เศษของวันที่เหลือไม่ถึงเดือน |
ถ้าไม่ใช่รูปแบบที่กำหนดข้างต้น ฟังก์ชันจะแสดงค่าผิดพลาดเป็น #NUM
ค่า Interval ถ้าใส่โดยตรง ต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูด เช่น
=DATEDIF(Date1,Date2,"m")
แต่ถ้าอ้างอิงมาจากเซลล์อื่น ก็ไม่ต้องมีเครื่องหมายคำพูด เช่น
=DATEDIF(Date1,Date2,A1)
ในแบบฟอร์ม ใน Sheet2 บอกว่า ขอให้เอาข้อมูลมารวมกันในเซลล์เดียว ดังนั้นจึงต้องมีการรวม วัน เดือน ปี ที่คำนวณได้มาไว้ในเซลล์เดียวกัน โดยใช้เครื่องหมาย & เชื่อม เช่น
=DATEDIF(A1,B1,"y") & " ปี " & DATEDIF(A1,B1,"ym") & " เดือน "& DATEDIF(A1,B1,"md") & " วัน"
ซึ่งจะแสดง ดังนี้ เช่น 12 ปี 8 เดือน 14 วัน
ลองดาวน์โหลด แล้วศึกษาดูนะครับ
อ้างอิง
http://www.cpearson.com/excel/datedif.aspx
เยี่ยมมากครับ
ตอบลบดิฉันเกิด 19 มกราคม 2523
ตอบลบรับราชการวันที่ 17 ธันวาคม 2558
ต้องเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2583
ซึ่งคำนวณอายุราชการแล้วจะไม่ถึง 25 ปีเต็ม จะได้เพียง 24 ปี กับอีกประมาณ 9 เดือน กับ 13 วัน ถูกต้องไหมคะ..
ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าดิฉันจะไม่มีสิทธิ์รับบำนาญใช่หรือไม่คะ
ไม่เกี่ยวกันครับ..บำนาญเกียณอายุ 60 ปีก็ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ท่านต้องอยู่ถึง 60 ปีลาออกก่อนไม่ได้เท่านั้นคือไม่ครบ 25 ปี
ลบให้บันทึกเก็บไว้นะครับ
ตอบลบมีประโยชน์มาก
เกษียณแล้วได้อะไรบ้าง
1)- ไม่เป็นสมาชิก กบข.
ก): กรณีรับบำเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x อายุราชการ(รวมอายุราชการทวีคูณ)
กรณีนี้จะได้รับเงินก้อนเดียว
สิทธิต่าง ๆ ระงับไป ยกเว้นการขอพระราชทานเพลิงศพ
ข): กรณีรับบำนาญ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x อายุราชการ (รวมอายุราชการทวีคูณ เกิน 6 เดือนนับเป็น 1 ปี) หาร 50
กรณีนี้จะได้รับเงินทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต และยังมีสิทธิได้รับ
1. ค่ารักษาพยาบาลของตนเอง คู่สมรสและบิดามารดา บุตรที่ไร้ความสามารถ ยกเว้นบุตรปกติที่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
2. ค่าเล่าเรียนบุตร เบิกได้ถึงอายุ 25 ปีบริบูรณ์
3. บำเหน็จดำรงชีพ = เงินบำนาญ x 15 เท่า
เมื่อเกษียณได้รับเลย 200,000.-฿
เมื่ออายุครบ 65 ปีขอรับได้อีก 400,000.-฿ รวม 2 ครั้งไม่เกิน 600,000.-฿ แต่ทั้งหมดนี้ไม่เกิน 15 เท่าของเงินบำนาญ
4. เงินช่วยพิเศษ (ถึงแก่กรรม) = เงินบำนาญ x 3 เท่า
มอบให้กับผู้ที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนาหรือทายาทตามกฎหมาย
5. เงินบำเหน็จตกทอด (ถึงแก่กรรม) = เงินบำนาญ x 30 เท่า – เงินบำเหน็จดำรงชีพที่เบิกไปแล้ว
มอบให้กับทายาทตามกฎหมายหรือผู้ที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนา (กรณีที่ไม่มีทายาท)
และถ้าไม่มีผู้รับให้สิทธิบำเหน็จตกทอดเป็นอันยุติลง
2)- เป็นสมาชิก กบข.
ก): กรณีรับบำเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย (เศษเดือนเศษวันเป็นจุดทศนิยม x อายุราชการ (รวมอายุราชการทวีคูณ)
กรณีนี้จะได้รับเงินก้อนเดียว
สิทธิต่าง ๆ ระงับไป ยกเว้นการขอพระราชทานเพลิงศพ
ข): กรณีรับบำนาญ = เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย x อายุราชการ (รวมอายุราชการทวีคูณ เป็นจุดทศนิยม) หารด้วย 50
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน
กรณีนี้จะได้รับเงินทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต และยังมีสิทธิได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับบำนาญปกติ
สมาชิก กบข.แบบ ก.,ข. ยังได้รับเงิน
1. เงินสะสม + ผลประโยชน์
2. เงินประเดิม + ผลประโยชน์
3. เงินชดเชย + ผลประโยชน์
4. เงินสมทบ + ผลประโยชน์
ส่วนผู้ที่ลาออกจาก กบข.จะได้เงินสะสมของตนเองคืน
3)- เงินต่าง ๆ ที่สมัครเป็นสมาชิก
ก): เงินฌาปนกิจสงเคราะห์
ข): เงินผลประโยชน์จากหุ้นสหกรณ์
ค): เงินประกันชีวิตและเงินช่วยเหลือจากสหกรณ์
กรณีผู้รับบำนาญตายผู้ที่ได้รับคือผู้ที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนาหรือทายาทตามกฎหมาย
หมายเหตุ
ทายาทตามกฎหมายได้แก่
1. บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับคนละ 1 ส่วน
2. สามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับ 1 ส่วน
3. บิดามารดาหรือบิดาหรือมารดาที่มีชีวิตอยู่ ได้รับ 1 ส่วน
): ประกาศราชการทวีคูณ
– ช่วงที่ 1 วันที่ 19 ก.ย.49 – 26 ม.ค.50 = 4 เดือน 11 วัน
– ช่วงที่ 2 วันที่ 20 พ.ค.57 – 1 เม.ย.58 = 11 เดือน 7 วัน
รวม 2 ช่วง = 15 เดือน 18 วัน
ขอถามหน่อยครับ ผมทำงานเอกชน เกิด 30 พย. 04 เท่ากับสิ้นปี 2559 ครบเกษียณไหมครับ
ตอบลบ